จิตวิทยาเบื้องหลัง Double Bottom (ตัว W)
ทำไมรูปแบบตัว W ถึงแม่นยำ? ลองจินตนาการดูครับ...
- ขาแรก (First Low): ราคาลงแรงมากจนคนกลัวเทขายกันหมด
- เด้งขึ้น (Rebound): มีคนเริ่มช้อนซื้อ ทำให้ราคาดีดกลับไปสร้างยอดแหลมตรงกลาง (Neckline)
- ขาที่สอง (Second Low): คนขายพยายามทุบราคาลงมาอีกรอบเพื่อทำ Low ใหม่ แต่ทำไม่สำเร็จ! (ติดแนวรับเดิม) แสดงว่า "แรงขายหมดแล้ว"
- ระเบิด (Breakout): เมื่อคนเห็นว่าลงไม่ผ่าน แรงซื้อจึงกรูเข้ามาดันราคาจนทะลุ Neckline ขึ้นไป กลายเป็นเทรนด์ขาขึ้นครั้งใหม่
3 สไตล์การเข้าเทรด (Entry Strategy)
คุณสามารถเลือกเข้าเทรดได้ 3 แบบ ตามความเสี่ยงที่รับได้:
1. แบบกล้าได้กล้าเสีย (Aggressive Entry)
เข้า Buy ทันทีที่ราคาลงมาทดสอบขาที่ 2 และเกิดแท่งเทียนกลับตัว (เช่น Hammer) โดยไม่ต้องรอเบรค Neckline
ข้อดี: ได้ราคาต้นน้ำ, RR (Reward-to-Risk) สูงมาก
ข้อเสีย: มีความเสี่ยงที่ราคาจะทะลุแนวรับลงไปต่อ (รับมีด)
2. แบบมาตรฐาน (Breakout Entry)
รอให้ราคาปิดแท่งเหนือเส้น Neckline อย่างชัดเจนก่อน แล้วค่อยเปิด Buy
ข้อดี: มั่นใจได้ว่ารูปแบบ W สมบูรณ์แล้ว
ข้อเสีย: อาจได้ราคาแพงกว่าแบบแรก
3. แบบปลอดภัย (Retest Entry)
เมื่อราคาทะลุ Neckline ไปแล้ว ให้รอราคาย่อกลับมาทดสอบ Neckline อีกครั้ง (จากแนวต้านกลายเป็นแนวรับ) แล้วค่อยเข้า
ข้อดี: ปลอดภัยที่สุด
ข้อเสีย: บางครั้งราคาพุ่งไปเลยโดยไม่ย่อกลับมา
Double Top (ตัว M)
ใช้หลักการเดียวกันแต่กลับทิศทางครับ เกิดที่ยอดดอย ราคาทดสอบแนวต้าน 2 ครั้งไม่ผ่าน เป็นสัญญาณว่า "หมดแรงขึ้น" เตรียมตัว Sell ได้เลย